Thursday, December 22, 2011

ตัวอย่างสารคดีพิเศษ 10 ตอน Steve Jobs เริ่มเสาร์นี้ที่ Nation Channel สองทุ่ม


ต้องชมให้ได้นะครับ ผมระดมกูรูสุดยอดของเมืองไทยมาครบครัน วิเคราะห์ Steve Jobs อัจฉริยะผู้พลิกโลกในทุกแง่มุม ทั้งหมด 10 ตอน ตอนละครึ่งชั่วโมง ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เริ่ม 8 ทุ่มวันเสาร์ที่ 24 ธันวาฯ (Christmas Eve)นี้!

Saturday, December 17, 2011

เสวนา Steve Jobs ภาษาไทยที่ B2S เมื่อวานนี้



นี่ครับ...Steve Jobs by Walter Isaacson ภาษาไทยในรูปแบบ e-book ผ่าน Kindle ที่ร้อนแรงขณะนี้

Friday, December 16, 2011

ประโยคเด็ดของ Bill Gates อัด Steve Jobs


ประโยคสะใจโก๋ที่ Bill Gates แห่ง Microsoft อัดกลับ Steve Jobs แห่ง Apple เมื่อสตีฟชี้หน้ากล่าวหาว่าบิลขโมยไอเดียจากเขา

ตอนหนึ่งของหนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson คนเขียนสัมภาษณ์บิลเกตส์ซึ่งบอกว่าเขาอัดกลับสตีฟอย่างนี้

"I think it's more like we both had this rich neighbor named Xeros and I broke into his house to steal the TV set and found out that you had already stolen it..."

"ผมว่ามันเหมือนเราทั้งสองมีเพื่อนบ้านร่ำรวยคนหนึ่งชื่อซีร็อกส์ ผมแอบหลบเข้าบ้านเขาเพื่อจะไปขโมยทีวี...แต่พอเข้าไปแล้วก็พบว่าคุณขโมยไปก่อนผมแล้ว..."

Saturday, December 3, 2011

ไทม์ต้องแหกกฏตัวเอง หากจะให้สตีฟ จ็อบส์เป็น "บุคคลแห่งปี"


ถ้าสตีฟ จ็อบส์ได้เป็น Person of the Year ของนิตยสาร Time ปีนี้ (จะประกาศอีกไม่กี่วันข้างหน้า) เขาจะสร้างประวัติศาสตร์อีกบทหนึ่งในวงการสื่อ

นั่นคือเขาจะเป็นคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้หลังจากเสียชีวิตแล้ว

เพราะที่ผ่านมาไทม์มีนโยบายว่าคนที่จะเป็น "บุคคลแห่งปี" นั้นจะต้องเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่และจะเป็นคนที่มีประวัติทำอะไรที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อสหรัฐฯและโลก (ไม่ว่าในทางดีหรือทางร้ายก็ตาม)

คนเสนอชื่อให้สตีฟ จ๊อบส์เป็นบุคคลแห่งปีของไทม์อย่างเป็นทางการคือ Brian Williams พิธีกรคนดังของรายการ NBC Nightly News

เขาบอกว่าสตีฟ จ็อบส์สมควรได้เกียรตินี้เพราะเขา "สามารถเปลี่ยนโลกรอบ ๆ เรา" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทีวีหรือดนตรีและวิถีชีวิตประจำวันของคนทั้งโลก

ไบรอัน วิลเลียมแสดงความเห็นเรื่องนี้ขณะเป็นผู้นำการอภิปรายเรื่องนี้ที่นิวยอร์กเมื่อวันพุธก่อน และนาย Rich Stengel บรรณาธิการบริหารของไทม์ซึ่งอยู่ในวงสนทนาวันนั้นด้วยตั้งข้อสังเกตว่า "จริง ๆ แล้วไทม์ไม่เคยเลือกคนที่เสียชีวิตแล้วเป็นบุคคลแห่งปีมาก่อน"

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคณะบรรณาธิการของไทม์ที่ตัดสินเรื่องนี้ทุกปีจะมีมติให้สตีฟ จ็อปส์เป็นข้อยกเว้นในกรณีนี้

นอกจากสตีฟ จ็อปส์แล้ว คนอื่น ๆ ที่เข้าข่ายได้รับการพิจารณาปีนี้มี Mohamed Bouazizi พ่อค้าผลไม้ชาวตูนีเซียที่เป็นคนเริ่มประท้วงกลางถนนจนจุดประกายให้เกิดการประท้วงใหญ่ทั่วโลกอาหรับที่เรียกว่า Arab Spring

แต่เขาก็เสียชีวิตแล้วเช่นกัน

ตอนมีชีวิตอยู่ สตีฟ จ็อบส์เคยผิดหวังกับไทม์มาแล้ว ตอนที่เขาโด่งดังสุด ๆ เคยคาดว่าจะได้เป็น "บุคคลแห่งปี" แต่ก็ไม่ได้เป็น ในหนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson ผู้เขียนเล่าว่าสตีฟ จ็อบส์ลุ้นว่าตัวเองควรจะได้เป็น Person of the Year หลังจากเขาเปิดตัว iPod และ iPhone แล้วอย่างฮือฮา แต่ปีนั้น คณะบรรณาธิการของไทม์ลงมติให้ "The Machine" หรือตัวคอมพิวเตอร์เป็นบ "บุคคลแห่งปี"

สตีฟผิดหวัง บ่นว่ามีใครในไทม์ที่ไม่ชอบเขา มีอคติต่อเขา แต่ Isaacson บอกว่าตอนนั้นเขาเป็น บก.หนุ่มคนหนึ่งของไทม์ ยืนยันว่าไม่มีการเสนอชื่อของสตีป จ็อบส์เข้าพิจารณาตั้งแต่ต้น

หากปีนี้ไทม์ประกาศเขาเป็น "Person of the Year" จริง ก็จะเป็นการพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งว่าสำหรับอัจฉริยะคนนี้แล้ว ไม่มีกติกาไหนจะแก้ไม่ได้เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด

แม้จะจากโลกไปแล้ว, สตีฟ จ็อบส์ยังมีอิทธิพลต่อโลกเพียงนี้...เพราะไทม์อาจต้องเปลี่ยนกติกาที่ไม่เคยให้คนตายแล้วได้เป็น Person of the Year เพื่อแสดงความคารวะต่อ "ผู้พลิกโลก" คนนี้ก็ได้

อีกไม่กี่วันก็รู้ครับ

Wednesday, November 23, 2011

เมื่อสตีฟตอบอีเมลแฟน ๆ


หนังสือ e-book อีกเล่มเกี่ยวกับสตีฟ จ็อบส์เล่ม Letters to Steve: Inside the E-mail Inbox of Apple's Steve Jobs เขียนโดย Mark Milian คอลัมนิสต์ด้านไอทีของ CNN

เนื้อหาพูดถึงสาระการตอบอีเมลแฟนๆ ของสตีฟ จ็อบส์ ซึ่งปกติคนระดับซีอีโอจะไม่ค่อยทำนัก Mark Milian รวบรวมอีเมลของแฟนๆ จากที่ต่างๆ ที่อ้างว่าส่งไปคุยกับสตีฟ จ็อบส์ มาไว้ให้อ่าน รวมถึงสัมภาษณ์คนที่เคยได้สนทนากับสตีฟ จ็อบส์ทางอีเมลว่าคิดอย่างไรด้วย


ที่มา - Amazon, Mashable

Sunday, November 20, 2011

ภาพสะท้อนของสตีฟวัยหนุ่มกับสตีฟเลย 50


เบื้องหลังการ brainstorm ถกเถียงหาทางสร้างบริษัท NeXt ของ Steve Jobs สะท้อนถึงวิธีคิดและแนววิเคราะห์ของวงในของเจ้าพ่อแอปเปิลคนนี้

http://thenextweb.com/shareables/2011/11/20/watch-steve-jobs-brainstorm-with-the-next-team-in-this-fascinating-video/?utm_source=GooglePlus

Wednesday, November 16, 2011

Book of the Month


แวะไปที่ร้านหนังสือ Kinokuniya วันก่อน เห็นเขาเอาหนังสือประวัติ Steve Jobs ที่เขียนโดยใครต่อใครหลายคนมาขึ้นเป็น Book of the Month

แน่นอนว่า "พระเอก" ของกองหนังสือว่าด้วยเจ้าพ่อแอบเปิลคนนี้ที่ขายดีที่สุดในยามนี้หนีไม่พ้นว่าเป็น Steve Jobs by Walter Isaacson ที่กำลังร้อนแรงและได้รับการกล่าวขวัญกันอยู่ขณะนี้

Thursday, November 10, 2011

สตีฟไม่สนใจคำเตือน Memento mori


ในหนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson ตอนที่เขียนถึงเจ้าพ่อ Apple กำลังสู้กับโรคมะเร็งในตับอ่อนและหมอผ่าตัดแล้ว น่าจะทำให้เขาผ่อนเบาการทำงานที่โหมหนักมาตลอด แต่สตีฟ จ็อบส์ทำตรงกันข้าม

"มีตำนานเล่าขานกันว่า ในยุคโรมันนั้นขุนพลชนะศึกมาใหม่ ๆ จะพาเหรดกลางเมืองเพื่อฉลองชัยชนะ แต่เขาจะสั่งให้คนใกล้ชิดนั่งประกบอยู่ข้างหลัง ท่องประโยค Memento mori ซ้ำแล้วซ้ำอีกให้เขาได้ยินตลอดเวลา...แปลว่า "จำได้ วันหนึ่งคุณก็ต้องตาย..." เพื่อเตือนสติว่าไม่ว่าคุณจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด, คุณก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่จะต้องม้วยมรณาเหมือนคนอื่นทั้งหลาย..."

Walter Isaacson เขียนว่า คำเตือน "Memento mori" สำหรับสตีฟ จ็อบส์คือมาจากหมอของเขาอย่างชัดเจน แต่เปล่าเลย เขาไม่ฟังเสียง และดูเหมือนยิ่งรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาในโลกน้อย, เขาก็ยิ่งทุ่มเทกับงานของเขามากยิ่งขึ้น

หมอเจอมะเร็งในตับอ่อนของสตีฟเมื่อปี 2003 เขาผ่าตัดกลางปี 2004 และเสียชีวิต 7 ปีต่อมา

Monday, November 7, 2011

หนังสือเปิดตัวเมืองจีน...คึกคักยิ่ง


หนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson ฉบับแปลภาษาจีนวางตลาดอย่างมีสีสันทั่วประเทศเมื่อ 24 ตุลาฯที่ผ่านมา และยอดขายวันแรกกว่า 250,000 เล่ม

หลายคนที่มาซื้อวันแรกบอกว่าซื้อมากกว่าหนึ่งเล่มไปฝากเพื่อนบ้าน ลูกหลานบ้าง เพราะต่างก็ต้องการอวดคนอื่นว่า "ฉันได้หนังสือมาแล้วในวันแรกที่วางแผง"

สำนักพิมพฺ Citic Press ของจีนได้ลิขสิทธิ์ ไม่ได้เปิดเผยยอดพิมพ์ แต่เมื่อเปิดตัวและขายได้ร้อนแรงขนาดนี้ เชื่อได้ว่าจะต้องมีการพิมพ์เพิ่มอย่างไม่ต้องสงสัย

วันวางร้านหนังสือเล่มนี้, คนจีนยืนเข้าคิวหน้าร้านหนังสือกว่า 20 เมืองพร้อมเพรียงเหมือนตอน iPhone และ iPad เปิดตัวในปักก่ิ่งและเซี่ยงไฮ้เช่นกัน

ความนิยมของคนจีนรุ่นใหม่ต่อศาสดาแอบเปิลคืออาการของจีนยุคใหม่ที่มองข้ามความเป็นคนจีน หันมามองโลกแห่งนวัตกรรมเป็นเรื่องสากลที่น่าตื่นตาตื่นใจ

Saturday, November 5, 2011

ยอดขายพุ่งเป็นอันดับหนึ่งในสัปดาห์แรก!


รูปหายากของ Steve Jobs ตอนอายุยี่สิบเศษ ๆ...ตอนกำลังคลั่งวิถีชีวิตแบบฮิบปี้ ต่อต้านสังคมวัตถุนิยม..

และในหนังสือเล่มนี้จะมีรูป exclusive จากอัลบัมส่วนตัวของสตีฟ จ็อบส์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนมากมายหลายรูปเช่นกัน

ข่าวล่าสุดจากอเมริกาบอกว่า Steve Jobs by Walter Isaacson โดยสำนักพิมพ์ Simon & Schuster เล่มนี้ยอดขายพุ่งกระฉูด หกวันแรกอยู่ที่ 379,000 ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาดหนังสือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว และทำท่าว่าจะเป็นหนังสือยอดขายอันดับหนึ่งของปี 2011 นี้ด้วย

ตัวเลขนี้ได้จากนิตยสารอังกฤษ The Bookseller ซึ่งได้สถิติทางการที่วงการหนังสือเชื่อถือที่สุดคือ Nielsen BookScan

ก่อนหน้านี้ หนังสือสองเล่มที่ทำสถิติสัปดาห์แรกสูงกว่าคือ The Diary of a Wimpy Kid: The Ugly Truth โดย Jeff Kinney และ Decision Points โดยอดีตประธานาธิบดี George W. Bush

ทั้งสองเล่มนี้ขายในอาทิตย์แรกได้เกิน 430,000 เล่มเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปี 2010

เล่มแรก ตีพิมพ์โดย Abrams ม่ียอดขายถึงทั้งปี 2010 ถึง 3.3 ล้านเล่ม และเล่มที่สอง ตีพิมพ์โดย Crown ทำสถิติ 2.6 ล้านเล่มในปีเดียวกัน

ในเมืองไทย หนังสือเล่มนี้ (ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย) ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและคึกคักยิ่ง!

ความเด็ดขาดผสมบ้าบิ่นของเขา


หนังสือ Steve Jobs by Walter Isaacson ล็อตที่สองมาถึง Asiabooks ที่กรุงเทพฯ แล้ว...เวอร์ชั่นภาษาไทยที่เครือเนชั่นได้ลิขสิทธิ์แปลจะวางร้านกลางเดือนหน้า แฟน ๆ ต้องรีบจอง...ไปที่ www.nationbook.com ได้เลย

อีกเกร็ดหนึ่งจากหนังสือน่าอ่านเล่มนี้...ผมทึ่งกับวิธีคิดและการฟื้น Apple ของสตีฟมาก ตอนที่เขากลับไปบริหารบริษัทที่เขาตั้งขึ้นเอง (และอีกเขี่ยออกโดยคณะกรรมการบริษัท) นั้นธุรกิจของ Apple ย่ำแย่ถึงขั้นที่เขาประเมินว่าถ้าไม่รีบเขย่าครั้งใหญ่ อีก 90 วันก็ล้มละลายแล้ว

สตีฟ จ็อบส์บอกคนเขียนประวัติของเขาเล่มนี้ว่า "ตอนนั้นบริษัทกำลังจะเจ๊ง ไม่มีเงินเหลือแล้ว ผมจึงเรียกประชุมผู้บริหารทั้งหมด และบอกว่าบริษัทผลิตสินค้า 27 ถึง 30 ชนิดรวมถึงเครื่องพรินเตอร์และอะไรจิปาถะ...ผมขีดเส้นบนกระดาน เป็นรูปสี่เหลี่ยมสี่รูป และเขียน Professional, home consumer, Laptop, Desktop ลงในสี่เหลี่ยมทั้งสี่กรอบ และประกาศว่าเราจะเลิกทุกอย่าง และผลิตสี่ตัวนี้เท่านั้น อย่างอื่นตัดทิ้งไปให้หมด..."

สตีฟไล่คนออก 3,000 คนและเปิดตัวการโฆษณาชุดใหม่...อันเป็นจุดพลิกผันที่นำไปสู่การฟื้นคืนชีพของ Apple ที่ผลิตสุดยอดของผลิตภัณฑ์คอมฯจากสมองอัจฉริยะของเขา

ถ้าเป็นนักบริหารคนอื่น อาจจะพยายามหาทางไม่ต้องปลดพนักงานมากขนาดนั้น แต่ความ "เด็ดขาด" และ "บ้าบิ่น" เป็นอีกลักษณะหนึ่ง
ของเขา...ที่เปิดเผยอย่างหมดเปลือกในหนังสือเล่มนี้

Friday, November 4, 2011

วิธีแสดงคารวะต่อหนังสือประวัติของ "ศาสดา"?


เห็นภาพนี้ใน Google+ แล้วก็ต้องเชื่อครับว่ามีคนไม่น้อยที่น้บถือสตีฟ จ็อบส์เป็น "ศาสดา" ขั้นเทพ เพราะเขาปฏิวัติวิถีชีวิตและวิธีคิดต่อ
เทคโนโยลีของคนรุ่นนี้จริง ๆ

เขาคนนี้เป็นใครไม่ทราบ แต่ถึงขั้นแสดงอาการคารวะแบบนี้ต้องถือว่าเทใจให้กันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อได้อ่าน Steve Jobs by Walter Isaacson แล้วจึงเข้าใจได้ว่าทำไมหนุ่มคนนี้ที่เคยเป็นฮิบปี้, บอกอำลารั้วมหาวิทยาลัยกลางคัน, แอบสูบกัญชาและหลงมนต์ของ LSD และเดินทางประหนึ่งจะไปจาริกแสวงบุญถึงอินเดีย แต่อยู่ดี ๆ ก็ตัดสินใจกลับบ้านเพื่อทุ่มเทชีวิตเป็นนักธุรกิจเพื่อสร้างสิ่งที่วงการไฮเทคคาดไม่ถึง?

ความขัดแย้งในตัวตนของสตีฟ จ็อบส์มีหนักหนารุนแรงจริง ๆ....ต้องอ่านทุกตัวอักษรของหนังสือเล่มนี้ครับ...ยิ่งผมมาทำหน้าที่เป็น
บรรณาธิการของฉบับแปลเป็นภาษาไทยที่เครือเนชั่นได้ลิขสิทธิ์มา, ผมยิ่งทึ่งในความเป็นสตีฟ จ็อบส์

Monday, October 31, 2011

โอ้ วาว, โอ้ วาว, โอ้ วาว นี่หรือคือความตาย?


ประโยคอุทานสุดท้ายก่อนสิ้นใจของ Steve Jobs คือ

"OH WOW. OH WOW. OH WOW."

คนที่เปิดเผยไม่ใช่ใคร หากแต่คือน้องสาวร่วมสายโลหิตที่ชื่อ Mona Simpson ซึ่งเป็นนักเขียนนิยายที่มีชื่อเสียงพอสมควร และได้พบกับพี่ชาย คบหาเป็นเพื่อนกันตลอด 27 อย่างสนิทสนม

เธอกล่าวไว้อาลัยในพิธีศพของพี่ชายเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมอย่างน่าซาบซึ้งสำหรับผู้เข้าร่วมวันนั้น เพราะเธอบรรยายความเป็นมนุษย์ของสตฟที่มีความรัก, ความอบอุ่น, ความห่วงหาอาทรต่อภรรยาและลูกทั้งสี่คนอย่างลุ่มลึกและละเอียในอารมณ์ยิ่ง

โมน่าบอกว่าสตีฟทำงานที่เชอบสุดชีวิตจิตใจ และเป็นคนทำงานหนักอย่างยิ่ง แม้ว่าบางครั้งเขาจะประสบความล้มเหลว เขาก็ไม่เคยย่นระย่อ

"ความแปลกใหม่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่สตีฟเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด แต่ความสวยงามต่างหากที่เขาเชิดชูเหนือสิ่งอื่นใด..." เธอบอก ซึ่งตรงกับประโยคที่เธอเคยได้ยินและตรงกับความเป็นสตีฟ

"แฟชั่นคือสิ่งที่ดูเหมือนสวยวันนี้ แต่จะกลายเป็นสิ่งน่าเกลียดวันพรุ่งนี้ ขณะที่ศิลปะนั้นอาจจะดูน่าเกลียดครั้งแรกที่เห็น แต่จะกลายเป็นสิ่งสวยงามในเวลาต่อมา..."

สตีฟมุ่งมั่นเหลือเกินที่จะทำให้สิ่งที่เขาทำ "สวยในเวลาต่อมา"

และเขาพร้อมที่จะให้คนอื่นเข้าใจเขาผิด

"สตีฟเป็นคนถ่อมตน เป็นคนที่เรียนรู้ไม่จบสิ้น" น้องสาวเขียนถึงพี่ชาย ฉายไปที่ภาพอีกด้านหนึ่งของเจ้าพ่อแอบเปิลซึ่งหลายคนมองว่าเป็นคนอหังการ, เจ้าอารมณ์และมีอัตตาสูงเหลือร้าย

ประโยคที่ผมคิดว่าโมน่าทำให้เห็นภาพของสตีฟ จ็อปส์ชัดกว่าใคร...อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นนักเขียนที่ใช้ภาษาไปกับอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างถึงแก่น...เมื่อเธอเขียนว่า

"Death didn't happen to Steve, he achieved it."

ผมขออนุญาตถอดความว่า

"สำหรับสตีฟแล้ว, ความตายไม่ได้เพียงแค่เกิดขึ้นกับเขา เขาเองต่างหากที่ทำให้ความตายเกิดขึ้นกับเขาจนสำเร็จ..."

ประหนึ่งจะบอกว่าเขาสามารถออกแบบให้ความตายต้องเกิดกับเขาในลักษณะที่เขาต้องการ

Sunday, October 30, 2011

เมื่อคุณรู้ว่าความตายกำลังจะมาถึง....


อีกบางประโยคของเขาที่เกี่ยวกับ "ความตาย" และปรัชญาของการดำเนินชีวิต

"การจำได้ว่าคุณกำลังจะตายเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่ผมรู้ในอันที่จะหลบเลี่ยงกับดักของการทึ่คิดว่าคุณมีอะไรจะต้องสูญเสีย...เพราะยังไง ๆ คุณก็เปลือยเปล่าแล้ว...จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไม่ทำตามที่หัวใจบอก..."

Saturday, October 29, 2011

ทำไม Steve Jobs ขอให้ Walter Isaacson เขียนประวัติตัวเอง?


เจ็ดปีก่อน สตีฟ จ็อปส์ขอให้ Walter Isaacson อดีตบรรณาธิการของนิตยสารไทม์ ว่าสนใจจะเขียนหนังสือที่เป็นชีวประวัติของเขาไหม

เป็นข้อเสนอที่ค่อนข้างแปลก เพราะสตีฟเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวกับสื่อมาโดยตลอด เรื่องส่วนตัวของเขาไม่เป็นที่ล่วงรู้ถึงข้างนอกเลย เขาจะพูดก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่เขาต้องการให้เป็นข่าว และส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับการตลาดว่าด้วยสินค้าตัวโปรดของเขาเท่านั้น

วอลเตอร์ ไอซาคซอนเป็นนักเขียนมีชื่อเสียง เขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติของ Benjamin Franklin (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสหรัฐอเมริกา) และกำลังเขียนเกี่ยวกับ Albert Einstein

เขาบอกสตีฟทันทีว่าไม่สนใจจะเขียนประวัติของเขาเพราะยังไม่ถึงเวลา และเขาก็ยังมีอายุไม่มากพอที่จะต้องคิดถึงการบันทึกความทรงจำของตนเองให้คนรุ่นหลัง

"ผมเห็นว่าชีวิตของสตีฟ จ็อปส์ขณะนั้นยังจะต้องมีขึ้นมีลงอีกหลายรอบ ผมจึงแสดงอาการรีรอและลังเล บอกว่าอีกสักสิบยี่สิบปี เมื่อเขาเกษียณจากงานการแล้ว ค่อยคุยกันใหม่ดีกว่า..." วอลเตอร์เล่า

วอลเตอร์ไม่รู้ขณะนั้นว่าสตีฟกำลังป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน และกำลังจะเข้ายอมรับการผ่าตัด...พูดง่าย ๆ คือเจ้าพ่อแอบเปิลเริ่มจะเชื่อว่าชีวิตของตัวเองคงจะไม่ได้อยู่ยาวนานอีกเท่าไหร่นัก

เมื่อเห็นอาการดิ้นรนต่อสู้กับมะเร็งของสตีฟ จ็อปส์ และเมื่อได้พูดคุยกันบ่อยขึ้น วอลเตอร์ก็เห็นชัดถึงบุคลิกที่มีสีสันเหลือล้นของสตีฟ...ความกระตือรือร้น, ความเป็นศิลปิน, นิสัยเจ้่าอารมณ์ทางเลวร้าย, ความทุ่มเท, และความหมกมุ่นที่จะต้องควบคุมทุกอย่างรอบตัวถึงระดับคลั่ง...เขาจึงตัดสินใจรับปากเขียนเรื่องราวของสตีฟ จ็อปส์เพื่อเป็น "กรณีศึกษาว่าด้วยความสร้างสรรค์"

วอลเตอร์เริ่มสัมภาษณ์สตีฟในปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงที่อาการป่วยของสตีฟเริ่มหนักหน่วงแล้ว ในช่วงสองปีนั้น เขาสัมภาษณ์สตีฟถึงเกือบ 50 ครั้ง และครั้งหลังสุดก็เป็นการสนทนากันก่อนสตีฟเสียชีวิตไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นเอง

สตีฟบอกวอลเตอร์ "ผมไม่มีความลับส่วนตัวอะไรที่เปิดเผยไม่ได้" จึงยอมเปิดเผยเรื่องราวตัวเองให้กับวอลเตอร์เกือบจะเรียกว่าหมดเปลือก

ที่น่าสนใจคือ สตีฟไม่ได้หักห้ามไม่ให้วอลเตอร์ไปพูดคุยกับคนที่รู้จักเขาเป็นร้อยคน ทั้งลูกเมีย, เพื่อน, ศัตรู, คนชื่นชม, และคนหมั่นไส้เขาอย่างเปิดเผย

สตีฟย่อมรู้ว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่ใช่ชีวประวัติเฉพาะแง่มุมที่ดีและสวยงามที่เขาอยากจะให้สังคมรับรู้เท่านั้น หากจะยังมีส่วนที่เปิดเผยด้านมืดของเขาที่มีไม่น้อย พร้อม ๆ กับความเป็นอัจฉริยะของเขาเช่นกัน

ภรรยาของสตีฟชื่อ Laurene Powell บอกคนเขียนว่า "ขอให้ตรงไปตรงมาทั้งที่เกี่ยวกับจุดอ่อนและจุดแข็งของเขา มีบางส่วนในชีวิตและบุคลิกของเขาที่เละเทะมากที่เดียว ขออย่าได้ปิดบังซ่อนเร้นหรือกลบเกลื่อน ดิฉันอยากเห็นเรื่องราวของสตีฟได้รับการเปิดเผยออกมาอย่างสัตย์ซื่อที่สุด..."

วอลเตอร์บอกว่าเขาเชื่อว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ "แฟร์" ...แฟร์ในความหมายที่ว่ามันสะท้อนถึงพระเอกของเรื่องในฐานะเป็น "มนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง"

วอลเตอร์เล่าว่า เขาไปหาสตีฟครั้งสุดท้ายก่อนเขาเสียชีวิตไม่กี่สัปดาห์ ที่บ้านที่เมือง Palo Alto รัฐแคลิฟอร์เนีย

สตีฟได้ย้ายลงมาอยู่ในห้องชั้นล่างของบ้านเพราะร่างกายอ่อนเปลี้ยเต็มที

"เขามีอาการม้วนไปมาด้วยความเจ็บปวด แต่สมองยังใส และอารมณ์ขันยังมีอยู่เต็มที่ เราคุยกันเรื่องชีวิตวัยเด็กของเขา และเขาก็มอบรูปของคุณพ่อของเขากับครอบครัวเพื่อใช้ตีพิมพ์ในหนังสือ ในฐานะนักเขียน ผมก็มักจะคุ้นชินกับการไม่เอาอารมณ์ตัวเองไปเกี่ยวพันกับคนที่ผมเขียนถึงมากนัก แต่ขณะที่ผมพยายามจะกล่าวคำอำลาเขาวันนั้น ผมเกิดรู้สึกว่ามีคลื่นความรันทดมาปะทะผมกระทันหัน ผมพยายามจะซ่อนความรู้สึกของผมด้วยการถามคำถามที่ยังสร้างความงุนงงกับผมอยู่..."

วอลเตอร์บอกว่าได้สัมภาษณ์สตีฟเกือบ 50 ครั้งสำหรับเขียนหนังสือเล่มนี้ในช่วงระยะเวลาสองปีเต็ม ๆ ซึ่งเขารู้สึกว่าสตีฟเปิดใจเล่าเรื่องแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอดชีวิต

วอลเตอร์ถามสตีฟว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจระบายความรู้สึกออกมาอย่างหมดเปลือกอย่างนั้น?

สตีฟ จ็อปส์ตอบว่า "ผมต้องการให้ลูก ๆ ของผมรู้จักผม ตลอดชีวิตทำงาน ผมไม่ค่อยได้อยู่กับลูก ผมต้องการให้พวกเขาและเธอได้รู้ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น...และให้ลูก ๆ เข้าใจว่าผมได้ทำอะไรบ้าง"

ส่วนลึกของอัจริยะที่แสนน่าชื่นชม, น่าหมั่นไส้, น่ารักและน่าชังคนนี้...ท้ายสุดก็คือความเป็นคนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นั่นแหละ

เขาคือคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา...เป็นอัจฉริยะที่พลิกโลกจริง ๆ

My first iNotes on Steve Jobs by Walter Isaacson


This is a special blog for my notes while reading "Steve Jobs by Walter Isaacson" which is being translated by a team of writers into Thai for NINE which has obtained exclusive rights in Thailand.

I will be posting my own notes while reading the book. Excerpts of interesting episodes will be noted here with my own interpretation.