Saturday, October 29, 2011

ทำไม Steve Jobs ขอให้ Walter Isaacson เขียนประวัติตัวเอง?


เจ็ดปีก่อน สตีฟ จ็อปส์ขอให้ Walter Isaacson อดีตบรรณาธิการของนิตยสารไทม์ ว่าสนใจจะเขียนหนังสือที่เป็นชีวประวัติของเขาไหม

เป็นข้อเสนอที่ค่อนข้างแปลก เพราะสตีฟเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวกับสื่อมาโดยตลอด เรื่องส่วนตัวของเขาไม่เป็นที่ล่วงรู้ถึงข้างนอกเลย เขาจะพูดก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่เขาต้องการให้เป็นข่าว และส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับการตลาดว่าด้วยสินค้าตัวโปรดของเขาเท่านั้น

วอลเตอร์ ไอซาคซอนเป็นนักเขียนมีชื่อเสียง เขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติของ Benjamin Franklin (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสหรัฐอเมริกา) และกำลังเขียนเกี่ยวกับ Albert Einstein

เขาบอกสตีฟทันทีว่าไม่สนใจจะเขียนประวัติของเขาเพราะยังไม่ถึงเวลา และเขาก็ยังมีอายุไม่มากพอที่จะต้องคิดถึงการบันทึกความทรงจำของตนเองให้คนรุ่นหลัง

"ผมเห็นว่าชีวิตของสตีฟ จ็อปส์ขณะนั้นยังจะต้องมีขึ้นมีลงอีกหลายรอบ ผมจึงแสดงอาการรีรอและลังเล บอกว่าอีกสักสิบยี่สิบปี เมื่อเขาเกษียณจากงานการแล้ว ค่อยคุยกันใหม่ดีกว่า..." วอลเตอร์เล่า

วอลเตอร์ไม่รู้ขณะนั้นว่าสตีฟกำลังป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน และกำลังจะเข้ายอมรับการผ่าตัด...พูดง่าย ๆ คือเจ้าพ่อแอบเปิลเริ่มจะเชื่อว่าชีวิตของตัวเองคงจะไม่ได้อยู่ยาวนานอีกเท่าไหร่นัก

เมื่อเห็นอาการดิ้นรนต่อสู้กับมะเร็งของสตีฟ จ็อปส์ และเมื่อได้พูดคุยกันบ่อยขึ้น วอลเตอร์ก็เห็นชัดถึงบุคลิกที่มีสีสันเหลือล้นของสตีฟ...ความกระตือรือร้น, ความเป็นศิลปิน, นิสัยเจ้่าอารมณ์ทางเลวร้าย, ความทุ่มเท, และความหมกมุ่นที่จะต้องควบคุมทุกอย่างรอบตัวถึงระดับคลั่ง...เขาจึงตัดสินใจรับปากเขียนเรื่องราวของสตีฟ จ็อปส์เพื่อเป็น "กรณีศึกษาว่าด้วยความสร้างสรรค์"

วอลเตอร์เริ่มสัมภาษณ์สตีฟในปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงที่อาการป่วยของสตีฟเริ่มหนักหน่วงแล้ว ในช่วงสองปีนั้น เขาสัมภาษณ์สตีฟถึงเกือบ 50 ครั้ง และครั้งหลังสุดก็เป็นการสนทนากันก่อนสตีฟเสียชีวิตไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นเอง

สตีฟบอกวอลเตอร์ "ผมไม่มีความลับส่วนตัวอะไรที่เปิดเผยไม่ได้" จึงยอมเปิดเผยเรื่องราวตัวเองให้กับวอลเตอร์เกือบจะเรียกว่าหมดเปลือก

ที่น่าสนใจคือ สตีฟไม่ได้หักห้ามไม่ให้วอลเตอร์ไปพูดคุยกับคนที่รู้จักเขาเป็นร้อยคน ทั้งลูกเมีย, เพื่อน, ศัตรู, คนชื่นชม, และคนหมั่นไส้เขาอย่างเปิดเผย

สตีฟย่อมรู้ว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่ใช่ชีวประวัติเฉพาะแง่มุมที่ดีและสวยงามที่เขาอยากจะให้สังคมรับรู้เท่านั้น หากจะยังมีส่วนที่เปิดเผยด้านมืดของเขาที่มีไม่น้อย พร้อม ๆ กับความเป็นอัจฉริยะของเขาเช่นกัน

ภรรยาของสตีฟชื่อ Laurene Powell บอกคนเขียนว่า "ขอให้ตรงไปตรงมาทั้งที่เกี่ยวกับจุดอ่อนและจุดแข็งของเขา มีบางส่วนในชีวิตและบุคลิกของเขาที่เละเทะมากที่เดียว ขออย่าได้ปิดบังซ่อนเร้นหรือกลบเกลื่อน ดิฉันอยากเห็นเรื่องราวของสตีฟได้รับการเปิดเผยออกมาอย่างสัตย์ซื่อที่สุด..."

วอลเตอร์บอกว่าเขาเชื่อว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ "แฟร์" ...แฟร์ในความหมายที่ว่ามันสะท้อนถึงพระเอกของเรื่องในฐานะเป็น "มนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง"

วอลเตอร์เล่าว่า เขาไปหาสตีฟครั้งสุดท้ายก่อนเขาเสียชีวิตไม่กี่สัปดาห์ ที่บ้านที่เมือง Palo Alto รัฐแคลิฟอร์เนีย

สตีฟได้ย้ายลงมาอยู่ในห้องชั้นล่างของบ้านเพราะร่างกายอ่อนเปลี้ยเต็มที

"เขามีอาการม้วนไปมาด้วยความเจ็บปวด แต่สมองยังใส และอารมณ์ขันยังมีอยู่เต็มที่ เราคุยกันเรื่องชีวิตวัยเด็กของเขา และเขาก็มอบรูปของคุณพ่อของเขากับครอบครัวเพื่อใช้ตีพิมพ์ในหนังสือ ในฐานะนักเขียน ผมก็มักจะคุ้นชินกับการไม่เอาอารมณ์ตัวเองไปเกี่ยวพันกับคนที่ผมเขียนถึงมากนัก แต่ขณะที่ผมพยายามจะกล่าวคำอำลาเขาวันนั้น ผมเกิดรู้สึกว่ามีคลื่นความรันทดมาปะทะผมกระทันหัน ผมพยายามจะซ่อนความรู้สึกของผมด้วยการถามคำถามที่ยังสร้างความงุนงงกับผมอยู่..."

วอลเตอร์บอกว่าได้สัมภาษณ์สตีฟเกือบ 50 ครั้งสำหรับเขียนหนังสือเล่มนี้ในช่วงระยะเวลาสองปีเต็ม ๆ ซึ่งเขารู้สึกว่าสตีฟเปิดใจเล่าเรื่องแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอดชีวิต

วอลเตอร์ถามสตีฟว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจระบายความรู้สึกออกมาอย่างหมดเปลือกอย่างนั้น?

สตีฟ จ็อปส์ตอบว่า "ผมต้องการให้ลูก ๆ ของผมรู้จักผม ตลอดชีวิตทำงาน ผมไม่ค่อยได้อยู่กับลูก ผมต้องการให้พวกเขาและเธอได้รู้ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น...และให้ลูก ๆ เข้าใจว่าผมได้ทำอะไรบ้าง"

ส่วนลึกของอัจริยะที่แสนน่าชื่นชม, น่าหมั่นไส้, น่ารักและน่าชังคนนี้...ท้ายสุดก็คือความเป็นคนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นั่นแหละ

เขาคือคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา...เป็นอัจฉริยะที่พลิกโลกจริง ๆ

No comments:

Post a Comment